แต่งหน้าแบบน่าเกลียดสุดชีวิต ทาหน้าดำปิ๊ดปี๋ ยังไม่พอต้องเติมกระดำบนโหนกแก้มทั้งสอง
เขียนคิ้วโก่งประดุจคันศร ติดขนตา3ชั้น ทั้งขนตาบนและล่าง
แบบว่าตุ๊กกี้เห็นคงอาย แต่งแต้มไฝเม็ดโตบนริมฝีปาก
ใส่วิกผมเหมือนกับไม่ได้หวีผมมาแรมปีซึ่งมันช่างรับกับเจ้าดอกไม้สีแดงสด
3ดอก ที่ติดอยู่กลางหัวให้เห็นเป็นตระหง่าน และที่ขาดไม่ได้คงเป็นฟันปลอม
ที่ทั้งยื่นทั้งใหญ่เหงือกนี่ถลนออกมาจนปากแทบหุบไม่ได้ ใช่แล้วค่ะ
ดิฉันแต่งตัวเป็น "แก้วหน้าม้า" นางในวรรณคดีที่รูปร่างหน้าตาอัปลักษณ์ที่สุดเลยก็ว่าได้
และใช่ว่าดิฉันจะแต่งหน้าแต่งตัวแบบนี้เฉยๆเสียเมื่อไหร่ ดิฉันได้ออกมาโชว์ลวดลาย โชว์ลีลาม้าย่อง แบบกังนัมสไตล์ ต่อหน้าสายตาคนนับพัน ซึ่งนั่นก็คือเหล่านักเรียนที่น่ารักของดิฉันเอง ถามว่าอายไหม ตอบได้เลยค่ะ ว่าอายมาก แต่จะทำยังไงได้ล่ะคะ เป็นครูต้องทำได้ทุกอย่างนี่คะ วิญญาณแก้วหน้าม้าเข้าสิงเลยแค่ เสียงเพลงอัศวลีลามาเท่านั้น ท่าม้าย่องมันก็มาเองอัตโนมัติ ทั้งๆที่ไม่เคยซุ่มซ้อมมาก่อนเลย
วันนี้เป็นวันภาษาไทยแห่งชาติค่ะ โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยรามคำแหงได้จัดงานวันภาษาไทยเหมือนทุกปี แต่ในปีนี้ทางกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยของเรา อยากเปลี่ยนรูปแบบของงานให้คุณครูในกลุ่มสาระภาษาไทยและกลุ่มสาระอื่นๆในโรงเรียนได้มีมีส่วนร่วมในการแสดง จึงได้เชิญชวนกลุ่มสาระอื่นๆให้มาแต่งกายร่วมกันกับพวกเรากลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย เพื่อเรียกความสนใจแก่นักเรียน และผลตอบก็จัดว่าเข้าขั้นดีมาก เพราะเมื่อนักเรียนต่างให้เห็นครูที่เคยเห็นใบบทบาทของครูในบทบาทที่ต่างไป โดยเฉพาะดิฉัน กับบทบาท "แก้วหน้าม้า"
มีหลายคนพูดว่า ทำแบบนี้ไม่กลัวนักเรียนหมดความเคารพเชื่อถือเหรอ ออกมาเต้นแร้งเต้นกาแบบนี้นักเรียนจะหมดความศรัทธาเอานะ
ในความคิดของดิฉัน ตอบได้อย่างเต็มปากเลยว่า ไม่ค่ะ เพราะคนเป็นครูนั้นใช่แต่ว่าสอนอยู่ในห้องเรียนเพียงอย่างเดียว มันอยู่ที่การถ่านทอดความรู้และมีความปรารถนาดีต่อนักเรียน ดูแลเอาใจใส่เค้าจะดีกว่า และนักเรียนจะสามารถแยกแยะความเป็นครูของเราได้เอง
ดิฉันรู้สึกดีที่ได้สร้างเสียงหัวเราะ อีกทั้งยังให้ความรู้เรื่องวรรณคดีเรื่องต่างๆให้นักเรียนได้รับชมและรับฟังอีกด้วย และตัวดิฉันเองก็ได้รับฉายา "คุณครูแก้วหน้าม้า" ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา